วิเคราะห์ข้อดีของการได้รับมาตรฐาน LEED มีอะไรบ้าง?
ต้องบอกเลยว่าในยุคนี้ที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการออกแบบและก่อสร้างอาคารประเภท Sustainable Building รวมถึงกลุ่มอาคารประหยัดพลังงาน และชื่อที่ได้ยินอยู่บ่อยๆ อย่าง “LEED” คือหนึ่งในมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะมาตรฐานสากลสำหรับอาคารเขียว ทำให้เจ้าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่ม Developer และนักออกแบบอาคารต่างสนใจและอยากให้อาคารที่ก่อสร้างได้รับ LEED เพื่อสะท้อนว่าผลงานที่สร้างขึ้นมาช่วยให้ผู้ใช้อาคารมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นอาคารที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
มาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) เป็นระบบการรับรองอาคารเขียวที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก พัฒนาโดย U.S. Green Building Council (USGBC) ที่ได้ยอมรับในระดับโลกจากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นมาตรฐานระดับสากลที่ใช้ในการประเมินและรับรองอาคารเขียวทั่วโลก โดยเกณฑ์คะแนนของ LEED แบ่งเป็น 4 ระดับได้แก่
- ระดับผ่านการรับรอง (Certified) : อยู่ในช่วง 40-49 คะแนน
- ระดับเงิน (Silver) : อยู่ในช่วง 50-59 คะแนน
- ระดับทอง (Gold) : อยู่ในช่วง 60-79 คะแนน
- ระดับแพลตตินัม (Platinum) : อยู่ในช่วง 80 คะแนนขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับสูงสุด
ปัจจุบันเจ้าของอาคาร นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และองค์กรต่างๆ ให้ความสนใจมาตรฐาน LEED มากขึ้น เพราะสามารถสร้างมูลค่าและข้อได้เปรียบหลายประการให้กับโครงการของพวกเขา และ Wazzadu Low Carbon Material Library ได้ลองวิเคราะห์ดูว่ามีประเด็นไหนบ้าง ก็ได้มาทั้งหมด 6 เรื่องด้วยกันตามนี้ครับ
1. เพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขัน
อาคารที่ได้รับการรับรอง LEED มักมีมูลค่าสูงขึ้นและสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่ดีกว่าอาคารทั่วไป เนื่องจากได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสูงกว่าอาคารธรรมดา นอกจากนี้ อาคารที่มีมาตรฐาน LEED ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนที่ต้องการสินทรัพย์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและยั่งยืนในระยะยาว
2. ประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน
LEED เน้นให้มีการใช้พลังงาน น้ำ และทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการลดค่าไฟ ค่าน้ำ และค่าบำรุงรักษาอาคาร เช่น การออกแบบที่ใช้แสงธรรมชาติเข้ามายังภายในอาคารได้มากขึ้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ และระบบระบายอากาศที่ช่วยลดภาระของเครื่องปรับอากาศ ทั้งหมดนี้ช่วยให้เจ้าของอาคารสามารถลดต้นทุนด้านการดำเนินพลังงานต่างๆ ในระยะยาว
3. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือขององค์กร
องค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance) ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน การมีอาคารที่ได้รับการรับรอง LEED ช่วยให้บริษัทสามารถแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือขององค์กร
4. ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและแรงจูงใจจากภาครัฐ
ในบางประเทศหรือบางเมือง อาคารที่ผ่านมาตรฐาน LEED อาจได้รับการลดหย่อนภาษี ค่าธรรมเนียมการก่อสร้าง หรือเงินสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้มีการพัฒนาอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้กับเจ้าของโครงการและเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้หลายองค์กรหันมาสนใจ LEED
5. ดึงดูดผู้เช่าและลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงิน มักเลือกเช่าอาคารที่ได้รับการรับรอง LEED เพราะต้องการให้พนักงานทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น และช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG ก็มักเลือกทำธุรกิจกับองค์กรที่มีอาคารที่ได้รับมาตรฐาน LEED
6. สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero และอนาคตที่ยั่งยืน
โลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ LEED เป็นหนึ่งในมาตรฐานที่ช่วยให้อาคารสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง ผ่านการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน การลดการปล่อยคาร์บอน และการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบอาคารทั้งหมด หากคุณกำลังวางแผนพัฒนาโครงการก่อสร้างหรือออกแบบอาคารที่ต้องการความยั่งยืนและประสิทธิภาพ LEED คือมาตรฐานที่ช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นใจ
ก็หวังว่าในอนาคตนั้น การออกแบบอาคารให้เป็นอาคารเขียว (Green Building) หรืออาคารคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Building) ในไทยจะมีเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยให้มีอาคารประหยัดพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีอาคารที่ให้ผู้ใช้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผู้เขียนบทความ
ด้วยการเกณฑ์การประเมินคาร์บอนฯ ที่แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. Low Carbon CFO (Carbon Footprint for Organization) : การประเมิน carbon footprint ขององค์กร
2. Low Carbon CFP (Carbon Footprint of Product) : การประเมิน carbon footprint ของผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้ผลิตและผู้พัฒนาวัสดุที่มีความมุ่งมั่นในการลดคาร์บอนจากวัสดุที่จำหน่าย มุ่งสู่เส้นทาง Low Carbon material ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทางโครงการมีการแบ่งเฟสที่บอกระดับว่าแต่ละองค์กรอยู่ที่จุดไหนแล้วบ้าง ได้แก่
Phase 1 : Committed เข้าร่วมโครงการ Wazzadu Low Carbon Material Library สู่เส้นทาง Low Carbon
Phase 2 : On-Track ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Phase 3 : Achieved สามารถปล่อยคาร์บอนฯ ต่ำได้แล้วเมื่อเทียบจากครั้งก่อนๆ
หวังว่าห้องสมุดที่รวมวัสดุคาร์บอนฯ ต่ำนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้พบกับวัสดุที่สามารถใช้ออกแบบให้เกิดเป็นสถาปัตยกรรมคาร์บอนต่ำได้จริง ... อ่านเพิ่มเติม