หลักการออกแบบภูมิทัศน์แบบ Hardscape (Hardscape Architecture Detail Design)

     โอลิมปิก 2024 มหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2024 โดยมีฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพอีกครั้งในรอบ 100 ปี ถือเป็นโอลิมปิกครั้งที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศส เจ้าภาพอย่างฝรั่งเศสจึงตั้งเป้าสร้างชื่ออีกครั้งในรอบศตวรรษ ผ่านการจัดงานโดยผสมผสานวัฒนธรรมและกีฬาเข้าด้วยกัน ภายใต้คอนเซปต์งานที่เน้นอารมณ์ความรู้สึก การมีส่วนร่วมของชุมชน ดึงอดีตเข้าสู่ปัจจุบันและส่งต่อความยั่งยืนสู่อนาคต ผ่านการแสดงออกทั้งทางศิลปะและกีฬา โดยการจัดงานครั้งนี้มีเป้าประสงค์ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการก่อสร้างให้มากที่สุดและแน่นอนว่าต้องรองรับผู้คนจำนวนมาก

     ฝรั่งเศสได้มีการปรับปรุงพื้นที่และสนามสำหรับจัดแข่งขันกีฬาในปีนี้หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสนามชั่วคราวรอบสถานที่สำคัญใจกลางเมืองฝรั่งเศส เช่น Eiffel Tower stadium สนามกลางแจ้งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการแข่งขันกีฬาบีชวอลเลย์บอลบริเวณสวน Champ de Mars หน้าหอไอเฟล หรือ จัตุรัสคองคอร์ด La Concorde พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ สำหรับจัดการแข่งขันสเก็ตบอร์ด, จักรยานผาดโผน BMX, บาสเก็ตบอล 3x3 

     และในการปรับปรุงพื้นที่เพื่อการแข่งขันกีฬากลางแจ้งในจุดต่าง ๆ รวมไปถึงพื้นที่สันทนาการสำหรับรองรับผู้ชมและนักท่องเที่ยว Hardscape design คือหนึ่งในองค์ประกอบด้านการออกแบบที่มีบทบาทในการเนรมิตพื้นที่เป็นอย่างมาก วันนี้ Wazzadu encyclopedia ร่วมกับแบรนด์ CPS ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างสำหรับงานทางเท้าและงานภูมิทัศน์ จึงอยากจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับหลักการออกแบบ Hardscape design ให้ลึกขึ้นพร้อมภาพตัวอย่างการออกแบบเบื้องต้น ซึ่งจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น มาติดตามชมกันได้เลยครับ

 

Hardscape คืออะไร?

ฮาร์ดสเคป (Hardscape) เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม ในส่วนที่เป็นโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างต่างๆ​ เช่น ทางเดิน ศาลา ที่นั่ง ฯ โดยมีส่วนช่วยให้งานภูมิสถาปัตยกรรมมีความน่ามองและคงทนไม่ว่าจะผ่านไปกี่ฤดูก็ตาม จะต่างจากซอร์ฟสเคป (Softscape) ซึ่งเป็นการตกแต่งสวนด้วยการนำต้นไม้มาจัดวางให้เกิดความสวยงาม

แนวทางในการออกแบบ

  1. ต้องรองรับกิจกรรม มีประโยชน์และคุ้มค่ากับงบประมาณ
  2. ต้องเหมาะกับรูปแบบและแนวคิดของพื้นที่นั้น ๆ
  3. ขนาด รูปทรง สีและพื้นผิวของฮาร์ดสเคปจะต้องเหมาะกับพื้นที่และการใช้งาน
  4. แข็งแรง คงทน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  5. หลีกเลี่ยงการวางฮาร์ดสเคปขนาดใหญ่ทางทิศใต้และทิศตะวันตก เพราะได้รับแสงอาทิตย์สูงสุดเฉลี่ยในรอบปี
  6. เลือกพืชพรรณมาให้เหมาะกับฮาร์ดสเคปที่สร้างขึ้น
  7. การออกแบบสวนไม่ว่าจะสไตล์ไหนต้องให้งานฮาร์ดสเคปเป็นตัวนำเสมอ แล้วค่อยเติมส่วนซอร์ฟสเคปเข้ามา

Hardscape สำคัญอย่างไร?

  1. ช่วยให้เกิดความสร้างสรรค์และสื่อความหมายทางแนวคิด เช่น รูปปั้น, อนุสาวรีย์, ประติมากรรมต่าง ๆ ที่ใช้ Hardscape มาช่วยในการสื่อสารเพราะรับรู้ได้ง่ายกว่าการใช้ Softscape
  2. เพิ่มคุณค่าและความสวยงามให้กับสวน รับรู้ได้ถึงแรงบัลดาลใจ นำมาซึ่งคุณค่าทางจิตใจของเจ้าของและผู้พบเห็น
  3. เพิ่มประสิทธิภาพด้านประโยชน์ใช้สอยในสวน เช่น มีทางเดินที่เดินสะดวกแทนการเดินบนหญ้า
  4.  ช่วยให้การเข้าถึงพื้นที่แล้วปลอดภัย กำแพง ไฟส่องสว่าง ที่หยุดล้อรถยนต์ ฯ
  5. เป็นอีกหนึ่งการออกแบบที่เข้ากับแนวคิดการออกแบบที่ยั่งยืน (Sustainable Landscape) คือการลดการใช้พลังงานในการดูแลสวน เช่น ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของน้ำ อุปกรณ์ดูแลรักษาอื่น ๆ
  6. ช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จัดสวนอื่น ๆ เช่น การทำพื้นบล็อกปลูกหญ้า (Grass Block) ในพื้นที่ที่เป็นที่จอดรถหรือใช้สอยหนัก ๆ แต่ก็ยังได้ความเขียวและลดอุณภูมิ เป็นต้น
  7. สร้างจุดสนใจให้กับพื้นที่และแก้ปัญหาความซ้ำของต้นไม้
  8. ช่วยสื่อถึงรูปแบบหรือสไตล์ของสวน เช่น สวนอังกฤษ สวนญี่ปุ่น ซึ่งจะมีรูปแบบลักษณะเฉพาะ Hardscape จะช่วยให้สื่อสารได้ง่ายขึ้น
  9. ลดปัจจัยเรื่องเงิน เพราะอยู่ได้นาน ไม่ต้องดูแลรักษาเยอะ

รู้จักหลักการออกแบบฮาร์ดสเคปแล้ว มาดูกันว่าองค์ประกอบของ Hardscape มีอะไรอีกบ้าง

บล็อกปูพื้น แผ่นทางเท้าและบล็อกหญ้า (Concrete Block)

สามารถเลือกใช้เป็นบล็อกคอนกรีตสำเร็จรูปที่มีขนาด รูปทรงและสีสันให้เลือกหลายหลาย ใช้สำหรับปูเป็นทางเดินหรือลานจอดรถ ที่จะต้องมีความแข็งแรง ทนกับสภาพอากาศ ปลอดภัยไม่ลื่นล้มง่าย อีกทั้งสะดวกต่อการติดตั้ง ประหยัดเวลาและแรงงาน ส่วนบล็อกหญ้ามีลักษณะพิเศษคือมีรูสำหรับให้หญ้าเติบโต เพื่อสร้างความเขียวให้กับพื้นที่ ลดอุณหภูมิและนำความมีชีวิตชีวิตมาให้

การติดตั้งบล็อกทางเท้า

  1. บดอัดชั้นดินในบริเวณพื้นที่ที่ต้องการให้แน่น
  2. วางขอบคันหินเพื่อป้องกันการแยกตัวของบล็อกคอนกรีต
  3. ปูแผ่นใยสังเคราะห์รองทราย
  4. วางบล็อกคอนกรีต

ในกรณีที่มีจุดรองรับน้ำหนักมากเป็นพิเศษ เช่น พื้นที่จอดรถจุดนี้จะเกิดพื้นยุบตัวได้ง่ายกว่าจุดอื่น ควรจะเทคอนกรีตเสริมเหล็กให้เรียบร้อยก่อน ค่อยปรับระดับพื้นด้วยปูนทรายแล้วจึงติดกระเบื้องคอนกรีตทับ

ที่หยุดล้อรถยนต์ (Wheel Stopper)

มีไว้เพื่อจัดการความเรียบร้อย และป้องกันอุบัติเหตุในลานจอดรถ สามารถช่วยจัดสรรพื้นที่ แบ่งเลนจอดรถทำให้ผู้ใช้รู้ว่าควรจอดรถในแนวใดและที่ไหน วัสดุที่นิยมนำมาทำผลิตภัณฑ์หยุดล้อรถยนต์มี 4 ประเภท คือ เหล็ก, พลาสติก, ยางและคอนกรีต ส่วนใหญ่นิยมใช้ที่หยุดล้อรถยนต์แบบคอนกรีตเพราะแข็งแรง ทนต่อทุกสภาพอากาศ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการเสริมโครงสร้างคอนกรีตที่เรียกว่า C-Bar Technology ป้องกันการเกิดสนิมและติดตั้งแผ่นสะท้อนแสงสีเหลือง (Reflective tape) เพื่อช่วยในการมองเห็นที่หยุดล้อรถยนต์ได้ชันเจนในตอนกลางคืนอีกด้วย

นอกเหนือจากนั้นยังมีองค์ประกอบสำคัญคือระบบระบายน้ำ (Drainage system หรือ Drainage solution) ที่ถือว่าเป็นฮาร์ดสเคปเช่นกัน มีส่วนสำคัญทำให้พื้นที่ไม่เกิดน้ำขังซึ่งจะสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคราบดินเกาะบนผนัง คราบตะไคร่จากความชื้นทำให้พื้นลื่นอาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง มีโอกาสที่แมลงและสัตว์เลื้อยคลานจะเข้ามาในพื้นที่

รางระบายน้ำและฝารางระบายน้ำ (Spoon Drain)

ปกติแล้วการระบายน้ำจากในอาคารออกสู่ท่อสาธารณะจะมีองค์ประกอบหลัก ๆ คือรางระบายน้ำ ซึ่งจะทำหน้าที่สำหรับระบายน้ำไปสู่บ่อพัก บ่อบำบัด หรือเชื่อมต่อกับแนวท่อระบายน้ำหลักของเมือง เป็นต้น โดยจะต้องมีความแข็งแรงใช้งานได้ยาวนานจึงนิยมใช้แบบคอนกรีต

มีหลายประเภท ตัวอย่างเช่น

  • รางระบายน้ำรูปตัวยู U-DITCH มีขนาดที่นิยมใช้งาน 10 – 360 เซนติเมตร
  • รางระบายน้ำรูปตัวโอ O-GUTTER มีร่องเปิดเป็นเส้นยาวด้านบน เนื่องจากมองเห็นรางระบายน้ำแค่ร่องเล็ก ๆ เท่านั้น ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นดูเรียบร้อยและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการได้ เหมาะที่จะใช้กับโครงการทั่วไป เช่น หมู่บ้านจัดสรร ออฟฟิศสำนักงาน พื้นที่สาธารณะ และอื่นๆ
  • รางระบายน้ำหรือท่อระบายน้ำทั่วไป ท่อระบายน้ำคอนกรีตชนิดท่อกลมจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน 30 - 250 เซนติเมตร โดยมีความยาวต่อท่อน 1 เมตร (นิยมผลิต)

ร่องระบายน้ำตื้น (Spoon Drain) 

มีลักษณะโค้งเว้าเล็กน้อยไม่ลึกมากสำหรับลำเลียงน้ำลงท่อสาธารณะและให้รถวิ่งผ่านได้ เหมาะสำหรับร่องสวน สวนอุตสาหกรรม หมู่บ้าน และคลังสินค้า

ร่องระบายน้ำแบบตื้นสำเร็จรูปมี 2 แบบคือ

  • ร่องระบายน้ำแบบตื้นรางเหลี่ยม (Shallow Drain หรือ Spoon Drain) หรือบางท่านเรียกรางยู
  • ร่องระบายน้ำแบบตื้นรางวี (Spoon Drain V)

การติดตั้งรางระบายน้ำตื้นมีวิธีการดังนี้

  1. ปรับระดับดินให้มีความเสมอกันตลอดแนวถนนที่ต้องการ 
  2. เทคอนกรีตหยาบปรับระดับ โดยให้มีสโลป 1:100 ลงสู่ที่ต่ำกว่า ปลายสโลปเชื่อมไปยังบ่อพักน้ำหรือรางน้ำย่อยอื่น ๆ ได้
  3. วางรางระบายน้ำสำเร็จรูปเรียงขนานขอบถนนตามแนวยาว โดยให้ขอบร่องระบายน้ำเสมอกับปลายขอบถนน

ฝารางระบายน้ำ (Spoon Drain cover)

มีไว้ปิดรางระบายน้ำไม่ให้เศษดินทราย ใบไม้ กิ่งไม้ต่าง ๆ ตกลงไป และเพื่อให้สามารถเปิดเพื่อเข้าดูแลรางรางระบายน้ำได้ มี 3 รูปแบบคือ

  • ฝารางวี
  • ฝาสำเร็จรูป (แผ่นเรียบ) สำหรับทางเท้า
  • ฝาตะแกรง

บ่อพักน้ำ (Manhole)

มีไว้สำหรับดักเศษขยะ เศษดิน เศษทราย หรือขยะและซ่อมกรณีท่อระบายน้ำทิ้งแตก เราก็สามารถมาเปิดดูในบ่อพักได้ โดยสังเกตขณะใช้งานปกติน้ำก็จะไหลมาที่บ่อพักด้วย ดังนั้นหากบ่อพักลูกไหนไม่มีน้ำหรือแห้ง แสดงว่าท่อน้ำทิ้งที่วิ่งมาบ่อพักลูกนี้อาจแตกน้ำเลยไหลลงดิน โดยทั่วไปบ่อพักจะเป็นบ่อคอนกรีต ขนาดประมาณ 0.40×0.40 เมตร หรือ 0.5x 0.5 เมตร และมีระยะห่างกันประมาณ 4-8 เมตร* หรือทุกจุดที่มีการหักเลี้ยวเกิน 90 องศา

*ขนาดของบ่อพักขึ้นอยู่กับขนาดบ่อพักและท่อระบายน้ำด้วย

ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับใช้ในงาน Landscape ได้ เพราะนอกเหนือจากความสวยงามแล้วยังง่ายต่อการติดตั้ง ประหยัดแรงและเวลา แถมยังทนทานใช้งานได้นานอีกด้วย

แพลตฟอร์ม และเครื่องมือสำหรับการออกแบบตกแต่งบ้าน และงานสถาปัตยกรรม
โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มผู้ใช้งานต่างๆ ตั้งแต่ สถาปนิก แบรนด์สินค้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ให้บริการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ...

บทความอื่นๆ จากผู้เขียน

โพสต์เมื่อ

การออกแบบ และเลือกใช้วัสดุ
หน้าต่างในงานสถาปัตยกรรม (Window type in architecture)

ไอเดียมาใหม่

บทความที่เกี่ยวข้อง

...

โพลสำรวจ

ถาม-ตอบ

Wazzadu.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานของคุณ