กระจกนิรภัย มีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติในการใช้งานอย่างไร

หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อของ กระจกเทมเปอร์ (Tempered Glass) มาก่อน เพราะกระจกชนิดนี้เป็นกระจกนิรภัยที่นิยมใช้ในการตกแต่งหรืองานสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย แต่นอกจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ ก็ยังมีกระจกชนิดอื่นอีกเช่นกันที่สามารถใช้เป็นกระจกนิรภัยได้ จะมีกระจกชนิดไหนบ้าง ติดตามได้ที่  Wazzadu Encyclopedia บทความนี้เลยครับ...

กระจกนิรภัยประเภทต่างๆ และคุณสมบัติในการใช้

กระจกนิรภัยเทมเปอร์ Tempered Glass หรือ T/P 

กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Glass หรือ T/P ) หรือที่เรียกว่ากระจกอบ คือการนำกระจกธรรมดาไปผ่านกระบวนการอบที่ความร้อนสูงประมาณ 650 องศาเซลเซียส แล้วนำมาเป่าด้วยลมแรงดันสูงให้เย็นตัวลงทันที เพื่อให้กระจกเกิดความแข็งแกร่งกว่าเดิม 3-5 เท่า ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และมีความปลอดภัยมากขึ้น

ในกรณีที่กระจกเทมเปอร์เกิดการแตกหัก จะแตกออกเป็นเม็ดคล้ายเม็ดข้าวโพด ซึ่งมีความแหลมคมไม่มาก ทำให้มีโอกาสเกิดอันตรายน้อยกว่ากระจกธรรมดา เหมาะสำหรับงานที่มีความเสี่ยงต่อการแตกร้าว และต้องการความปลอดภัยที่เกิดจากกระจกแตกร้าว (safety)

กระจกนิรภัยเทมเปอร์จะมีค่าความแข็งแรงต่อแรงดึง และแรงที่ทำให้หักงอ (Bending Strength) เมื่อเปรียบเทียบกับกระจกธรรมดา ที่ความหนาเท่ากัน 5 มม. กระจกธรรมดาจะมีค่าความแข็งแรงต่อแรงดึง และแรงที่ทำให้กระจกหักงออยู่ที่ 500- 600 กก./ซม.2 ส่วนกระจกนิรภัยเทมเปอร์จะมีค่าสูงถึง 1,500 กก./ซม.2

โดยขนาดความหนาของกระจกนิรภัยเทมเปอร์ ที่นิยมผลิตในท้องตลาด คือ 4, 5, 6, 8, 10, 12, 15, 19 มิลลิเมตร

วัตถุดิบ และส่วนประกอบหลักที่นำมาใช้ผลิต​ คือ กระจกที่สามารถนำมาผลิตเป็นกระจกนิรภัยเทมเปอร์คือกระจกแผ่นเรียบเกือบทุกชนิดไม่ว่ากระจกนั้นจะผลิตด้วยกระบวนการเพลท(Plate Process) ชีท (Sheet Process) หรือโฟลท(Float Process) แต่กระจกนั้นต้องมีส่วนประกอบของวัตถุดิบที่เหมาะสม เช่น ไม่มีส่วนประกอบของแร่เงินมากเกินไป เป็นต้น กระจกที่ผลิตจากกระบวนการดังกล่าวมี ดังนี้

  •  กระจกใส (Clear Glass)
  •  กระจกใสพิเศษ(Super Clear Glass)
  •  กระจกทิ้น(Tinted Glass)
  • กระจกลวดลาย (Pattern Glass) 

ข้อดี

  • มีความแข็งแรงกว่ากระจกโฟลท 4-5 เท่า ทำให้สามารถรับแรงกระแทก แรงกด และแรงบีบได้ดี
  • ทนความร้อนได้สูงถึง 290ºC โดยกระจกไม่แตก
  • ทนการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างฉับพลันได้ถึง 150ºC
  • เมื่อกระจกแตก จะแตกเป็นชิ้นเล็กๆคล้ายเม็ดข้าวโพดทั่วทั้งแผ่น จะไม่แตกเป็นปากฉลามแบบเดียวกับการแตกของกระจกธรรมดา จึงมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน
  • ถ้าหากตัดกระจกบนโต๊ะตัดที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ความเที่ยงตรงสูง จะสามารถตัดได้หลากหลายรูปแบบ 

ข้อควรระวัง/ข้อเสีย

  • หลังการผลิตเป็นกระจกนิรภัยเทมเปอร์จะไม่สามารถ ตัด เจาะ เจีย บาก ได้ ดังนั้นการวัดพื้นที่ จำเป็นต้องวัดอย่างระมัดระวัง และควรใช้เป็นหน่วยมิลลิเมตรในการวัดเพื่อความแม่นยำ
  • ไม่ควรใช้กระจกนิรภัยเทมเปอร์เดี่ยวๆ เป็นหลังคา หรือ เป็นผนังภายนอกอาคารบริเวณชั้นสูงๆ เพราะหากกระจกแตก จะร่วงลงมาเป็นอันตรายต่อคนข้างล่างได้
  •  ไม่ควรใช้กระจกนิรภัยเทมเปอร์เดี่ยวๆ เป็นพื้น หรือ เป็นขั้นบันได เพราะหากกระจกแตก ผู้เดินจะได้รับอันตรายพลัดตกลงมาได้
  • ห้ามใช้กระจกนิรภัยเทมเปอร์ทดแทนกระจกกันไฟ เพราะกระจกนิรภัยเทมเปอร์ไม่สามารถกันไฟเพื่อความปลอดภัยต่อผู้อาศัยตามข้อกำหนดของการกันไฟได้

การนำไปใช้งาน

  • ใช้เป็นประตูบานเปลือย ,ฉากกั้นอาบน้ำ ,ผนังกั้นภายใน ,ผนังกระจกทั้งสองหน้า 
  • ใช้ทำเป็นตู้โทรศัพท์ ,ห้องโชว์ ,ตู้สินค้าอัญมณีที่ต้องการความโปร่งแสง แต่ทนต่อแรง กระแทก ให้ความปลอดภัยสูง
  • ใช้ทำเป็นกระจกงานเฟอร์นิเจอร์ เช่น ชั้นวางของ ชั้นโชว์สินค้า
  • ใช้ทำเป็นหน้าต่างกระจก ผนังกระจกทั่วไป หรือ ผนังกระจกของอาคารในบริเวณที่เผชิญกับความร้อนสูงกว่าปกติ
  • ใช้ทำประตูบานเปลือย และผนังกระจกทั้งสองหน้าภายในตัวอาคาร
  • ใช้ทำผนังกระจกอาคารขนาดใหญ่ และอาคารสูง (Glass Curtain Wall) ในบริเวณที่ต้องรับแรงปะทะของกระแสลมที่มีความเร็วสูง
  • พื้นที่ ที่ต้องการความโปร่งแสง แต่ก็ต้องการความคงทนต่อแรงกระแทกในเวลาเดียวกัน

 

กระจกลามิเนต Laminated Glass

กระจกลามิเนต จัดเป็นกระจกนิรภัยชนิดหนึ่ง ที่เวลาแตกแล้วเศษกระจกจะยังคงยึดติดกันโดยไม่ร่วงหล่น เพราะมีชั้นฟิล์มที่ยึดเกาะระหว่างแผ่นกระจกเหมือนกับใยแมงมุม โดยเป็นการนำเอากระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safe Glass) หรือกระจกธรรมดา (Annealed Glass / Floated Glass) จำนวน 2 แผ่น หรือ มากกว่า แล้วนำมาประกบติดกันโดยมีชั้นฟิล์มคั่นกลางระหว่างกระจก เราจึงเรียกกระจกที่ผ่านกระบวนการผลิตในลักษณะนี้ว่า กระจกลามิเนต (Laminated Glass) นั่นเอง

กระจกลามิเนต คือ การนำกระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safe Glass) หรือกระจกธรรมดา (Annealed Glass / Floated Glass) ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป มาทำการ "ลามิเนต" ทำเป็นชั้นๆ โดยประกบคั่นกลางระหว่างแผ่นกระจกด้วยฟิล์ม PVB (Poly Vinyl Butyral) หรือ EVA (Ethylene Vinyl Acetate) เพื่อจุดประสงค์ในการใช้งานที่ต้องการความแข็งแกร่งมากขึ้น และตอบสนองการใช้งานในด้านความปลอดภัยที่สูงกว่ากระจกประเภทอื่น 

จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการรีดด้วย Roller ซึ่งทำให้ PVB Film ยึดติดเข้ากับกระจก หลังจากนั้นกระจกที่ประกบแล้วจะถูกนำไปอบในเตา Auto Clave ที่ควบคุมอุณหภูมิ และความดันที่เหมาะสมเพื่อไล่อากาศออกจนหมด ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต โดยขนาด และความหนารวมในท้องตลาดที่สามารถผลิตได้ มีตั้งแต่ 6.38 ถึง 80 มม.

ข้อดี

  • เมื่อกระจกได้รับความเสียหายจนเกิดการแตก เศษกระจกจะไม่ร่วงหล่นลงมา ซึ่งช่วยลดอันตรายได้มากขึ้น 
  • ช่วยป้องกันเสียงรบกวนภายนอก และเก็บเสียงได้ดีกว่ากระจกธรรมดา
  •  ช่วยป้องกันความร้อนได้ดี และกันรังสียูวีได้มากกว่า 90 %
  • ทนต่อแรงดันลมในที่สูง ทนต่อแรงอัดกระแทก และช่วยป้องการบุกรุกจากการโจรกรรมได้
  • สามารถเคลือบสีได้ตามความต้องการ

ข้อเสีย

  • เมื่อเทียบความหนาในขนาดเดียวกัน กระจกนิรภัยลามิเนตจะรับแรงได้น้อยกว่ากระจกธรรมดา เช่น กระจกลามิเนต 4 มม. + ฟิล์ม + 4 มม. จะรับแรงกระแทกได้น้อยกว่า กระจกใสธรรมดาที่หนา 8 มม.
  • ฟิล์ม PVB มีคุณสมบัติดูดความชื้น จึงทำให้ถ้าใช้กระจกนี้บริเวณที่มีความชื้นสูง จะทำให้การยีดเกาะระหว่างกระจกและฟิล์มไม่ดี และอาจเกิดการแยกตัวออกจากกันได้

ข้อควรระวังในการใช้งาน

การนำกระจกลามิเนต (Laminated Glass) ไปใช้งานภายนอกอาคารนั้น มีสิ่งที่ต้องควรระวังก็คือ เมื่อใช้งานไปนานๆ จะพบว่ากระจกปรากฏรอยลูกคลื่นตามแนวรอยบากระหว่างแผ่นกระจก ซึ่งลักษณะของปัญหาดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นกับกระจกลามิเนต โดยมีศัพท์ที่เรียกว่า Delamination  หรือ การแยกตัวของกระจกลามิเนต

ส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณขอบกระจก ,บริเวณรอยบาก หรือขอบที่เจาะรูยึดกับฟิตติ้งในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัญหาลักษณะนี้จะค่อยๆเกิดขึ้นหลังจากใช้งานไปแล้วสักระยะ(ตั้งแต่ 1 หรือ 2 ปีขึ้นไป) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่กระจกลามิเนตถูกผลิตด้วยวิธีการนำกระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safe Glass) หรือกระจกธรรมดา (Annealed Glass / Floated Glass) ตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไป มาทำการ "ลามิเนต" ทำเป็นชั้นๆ โดยประกบคั่นกลางระหว่างแผ่นกระจกด้วยฟิล์ม PVB (Poly Vinyl Butyral)

ซึ่งฟิล์ม PVB นี้เองถือเป็นส่วนประกอบที่ยังมีจุดด้อยซ่อนอยู่ ก็คือตัวฟิล์มมีคุณสมบัติในการดูดซับความชื้นได้ดี เมื่อกระจกถูกนำไปใช้งานภายนอกอาคารแล้วต้องเจอกับสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย จึงทำให้ความชื้นจากอากาศ และน้ำสามารถซึมผ่านเข้ามาทางขอบกระจกแบบเปลือยแล้วสัมผัสกับเนื้อฟิล์ม PVB ได้โดยตรง เมื่อความชื้นในชั้นฟิล์ม PVB ถูกสะสมมากขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ความเหนียวในการยึดเกาะของชั้นฟิล์มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ชั้นฟิล์ม PVB ที่คั่นกลางระหว่างกระจกทั้ง 2 แผ่น จึงทำให้เกิดการแยกตัวออกจากกระจกอย่างช้าๆ และเห็นเป็นรอยคลื่นได้อย่างชัดเจน

การนำไปใช้งาน

  • ใช้ตกแต่งภายใน เช่น ฝ้า พื้น ผนังห้อง และบานประตู
  • ใช้เป็นกระจกด้านนอกของอาคาร โดยเฉพาะกระจกที่ต้องการป้องกันการบุกรุก หรือต้องการลดเสียงรบกวน เช่น หน้าต่างช่องเปิดแบบต่างๆ
  • ใช้เป็นกระจกอาคารสูงตามกฎหมายควบคุมอาคาร
  •  ใช้ทำระเบียงราวกันตก ,หลังคา Skylight ,กันสาด และ Facade 
  •  ใช้ทำเป็นกระจกนิรภัยสำหรับเฟอร์นิเจอร์

กระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่น (Heat-Strengthened Laminate Glass)​ 

กระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่น คือ กระจกฮีทสเตร็งเท่นที่ผลิตด้วยกระบวนการเดียวกับกระจกนิรภัยเทมเปอร์ แต่จะต่างกันที่กระบวนการทำให้เย็นด้วยการเป่าลม จากนั้นจึงนำมาเข้าสู่กระบวนการทำลามิเนตเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความแข็งแรง จนได้ออกมาเป็นกระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่น

กระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่น ถือเป็นกระจกอีกประเภทหนึ่งที่ให้ความปลอดภัยในการใช้งานได้มากกว่ากระจกแบบทั่วไปถึง 2 เท่า และทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลันได้ 70 องศาเซลเซียส เมื่อกระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่นโดนวัตถุกระแทกจนทำให้เนื้อกระจกปริแตก กระจกจะแตกในลักษณะที่รอยแตกวิ่งเข้าไปหาเฟรม ซึ่งจะทำให้กระจกส่วนที่แตก ยังคงมีเฟรมโดยรอบ และชั้นฟิล์มลามิเนต PVB ที่คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างกระจกทั้ง 2 แผ่น คอยยึดเกาะเศษกระจกชิ้นที่แตกเหล่านั้นไว้ จึงไม่ทำให้กระจกที่แตกอยู่บนผนังอาคารร่วงตกลงมา

กระจกฮีทสเตรงค์เท่น เป็นกระจกที่ผลิตด้วยกระบวนการเดียวกับกระจกนิรภัยเทมเปอร์  แต่กระบวนการทำให้เย็นด้วยการเป่าลม จะเป็นตัวบ่งชี้ว่ากระจกสองชนิดต่างกัน ซึ่งมีรายละเอียดเฉพาะในการทำให้เย็นดังนี้ ถ้าเราใช้ลมเป่าให้เย็นตัวลงเร็วมากๆ กระจกจะเกิดการอัดแน่นของโมเลกุลที่ผิวกระจกอย่างมาก ทำให้มีค่าความเครียดที่ผิวกระจก (Compressive Stress) ที่ 10,000 PSI ขึ้นไป จึงเรียกได้ว่าเป็น ‘กระจกเทมเปอร์’ โดยสมบูรณ์ (Fully Tempered) ซึ่งจะทำให้กระจกมีความแข็งแรงกว่ากระจกทั่วไป 4-5 เท่า และทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลันได้ถึง 170 องศาเซลเซียส

แต่ถ้าลดแรงลมตอนที่เป่าให้กระจกเย็นตัว ก็จะมีผลทำให้กระจกเย็นตัวช้าลง ความเครียดที่ผิวกระจกก็จะลดหลั่นลงมาตามลำดับ ซึ่งเมื่อผิวกระจกมีค่าความเครียดที่ผิวกระจกระหว่าง 3,500 ถึง 7,500 PSI จะทำให้กระจกมีความแข็งแรงกว่ากระจกทั่วไป 2 เท่า และทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลันได้ 70 องศาเซลเซียส เราเรียกกระจกชนิดนี้ว่า ‘กระจกฮีทสเตร็งเท่น’ (Heat-Strengthened Glass) โดยสมบูรณ์

จากนั้นจึงนำกระจกฮีทสเตร็งเท่นแบบปกติ 2 แผ่นมาประกบลามิเนตกัน โดยมีฟิล์มลามิเนต PVB ที่ยึดเกาะคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างกระจกทั้งสองแผ่น โดยฟิล์ม PVB ทั่วไปมีความหนาของแผ่น 0.38 มม ถ้ากระจกฮีทสเตร็งเท่นที่นำมาประกบกันมีขนาดใหญ่ ก็ต้องใช้จำนวนชั้นฟิล์มเพิ่มขึ้น เราจึงเห็นได้ว่าการระบุความหนาของฟิล์มจะมีตั้งแต่ 0.38, 0.76. 1.14, หรือ 1.52 มม. ซึ่งก็คือ 1, 2, 3, หรือ 4 ชั้นนั่นเอง กระจกลามิเนตอาจจะประกอบด้วยกระจกฮีทสเตร็งเท่นมากกว่า 2 แผ่นประกบกัน แล้วแต่วัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งการนำกระจกฮีทสเตร็งเท่นหลายๆ ชั้นมาประกบลามิเนตสามารถนำไปใช้เป็นกระจกกันกระสุน กระจกอาคารสูงระฟ้า หรือ พื้นกระจกได้สบาย

ข้อดี

  • มีความแข็งแรงกว่ากระจกโฟลท 2 เท่า ทำให้สามารถร้บแรงกระแทก แรงกด แรงบีบ ได้ดี
  • ทนต่อแรงดันของกระแสลมในที่สูงได้ดี โดยเฉพาะผนังอาคารสูง พื้นกระจก หรือ หลังคากระจก 
  • ทนความร้อนแบบปกติได้สูงถึง 290ºC โดยที่เนื้อกระจกไม่ปริแตก
  • ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างฉับพลันได้ตั้งแต่ 70-100ºC
  • เมื่อกระจกปริแตก รอยแตกจะวิ่งเข้าไปหาเฟรม ซึ่งจะทำให้กระจกส่วนที่แตก ยังคงมีเฟรมโดยรอบ และชั้นฟิล์มลามิเนต PVB ที่คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างกระจกทั้ง 2 แผ่น คอยยึดเกาะเศษกระจกชิ้นที่แตกเหล่านั้นไว้ จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานได้มากกว่ากระจกทั่วไป
  • ไม่ปริแตกแตกด้วยตัวเอง แบบเดียวกับการปริแตกด้วยตัวเองของกระจกนิรภัยเทมเปอร์

ข้อเสีย

ไม่สามารถ ตัด เจีย เจาะ บาก ได้ ดังนั้นการวัดพื้นที่จำเป็นต้องวัดอย่างระมัดระวัง และควรใช้หน่วยมิลลิเมตรในการวัดเพื่อความแม่นยำ ซึ่งการเผื่อหลวมจะช่วยให้การติดตั้งง่ายขึ้น แต่ต้องไม่หลวมจนกระจกหลุดจากคิ้ว

เนื่องจากเป็นกระจกที่ผ่านกระบวนการความร้อนสูงจนเนื้อกระจกนิ่ม กระจกอาจเป็นคลื่น และมีโอกาสโก่งตัวอยู่เล็กน้อย

ไม่สามารถใช้ทดแทนกระจกกันไฟได้ เพราะกระจกฮีทสเตรงค์เท่นไม่สามารถกันไฟเพื่อความปลอดภัยต่อผู้อาศัยตามข้อกำหนดของการกันไฟได้

การนำไปใช้งาน

  • ใช้ในอาคารอาคารสูง (Glass Curtain Wall)

ตามพรบ.ควบคุมอาคาร ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่ากระจกเปลือกนอกของอาคารที่สูงเกิน 23 เมตรขึ้นไป ต้องใช้กระจกลามิเนต แต่เนื่องจากเวลาคำนวณแรงดันลม (Windload) และความร้อนสะสมที่กระจกแล้ว การใช้กระจกโฟลตธรรมดาแล้วนำมาประกบลามิเนตส่วนใหญ่แล้วจะไม่ผ่านเกณฑ์ จึงจำเป็นต้องใช้กระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่นแทน เพราะสามารถทนต่อการรับแรงดันลมบนผนังอาคารสูงได้ดี และเมื่อเวลาปริแตกกระจกจะยังเกาะอยู่ที่เฟรมจึงไม่ทำให้ร่วงหล่นลงมา จึงมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานทั้งภายใน และภายนอกอาคารที่อยู่ด้านล่างได้มากกว่ากระจกประเภทอื่น 

  • ใช้ทำพื้นกระจก (Glass Floor) 

ในการทำพื้นกระจกนั้น เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดที่ทำให้กระจกได้รับความเสียหาย หรือ ปริแตกนั้น กระจกฮีทสเตร็งเท่นลามิเนตจะแตกเป็นชิ้นใหญ่ โดยยังคงยึดติดอยู่กับกรอบเฟรม และฟิล์มลามิเนต โดยกระจกลามิเนตฮีทสเตร็งเท่นอีกแผ่นหนึ่งที่รองรับอยู่ด้านใต้ จะยังคงให้ความปลอดภัย

  • ใช้ทำหลังคากระจกสกายไลท์ในอาคารขนาดเล็ก หรือ อาคารขนาดใหญ่ (Skylight Glass)

ข้อเสีย/ข้อควรระวังในการใช้งาน

สิ่งที่ต้องควรระวังก็คือ เมื่อใช้งานภายนอกอาคารไปนานๆ อาจเกิดปัญหาการแยกตัวของกระจก หรือที่เรียกว่า Delamination  ซึ่งเป็นข้อควรระวังเช่นเดียวกับกระจกลามิเนต แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากๆ

กระจกเสริมลวด (Wire-Reinforced Glass)

กระจกเสริมลวด จัดเป็นกระจกนิรภัยชนิดหนึ่ง และเป็นกระจกที่ถูกดีไซน์มาให้มีลูกเล่นที่มีแนวเส้นลวดฝังในตัวกระจกในลักษณะเป็นแผงตาข่าย ผลิตโดยการฝังเส้นลวดโลหะระหว่างการผลิตแผ่นกระจก มีให้เลือกทั้งแบบใส และแบบขุ่น ซึ่งลวดในกระจกจะช่วยยึดไม่ให้กระจกหลุดร่วงออกมาในกรณีที่กระจกแตกหักหรือเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีกระจกโดนความร้อนสูงขนาดเกิดเพลิงไหม้ นิยมใช้กับสถานที่ที่ต้องการความปลอดภัยทั้งจากการโจรกรรมและเพลิงไหม้ เช่น บริเวณทางเดินหนีไฟ บริเวณทางเข้า-ออกอาคารที่อาจมีการกระจายของเพลิงหรือกลุ่มควัน และเพดานหรือผนังอาคารที่ทำด้วยกระจกที่อาจมีการแตกและหลุดร่วงของชิ้นกระจก

ข้อดี

  • การต้านทานการแตกหลุดร่วงของแผ่นกระจก เป็นกระจกนิรภัยชนิดหนึ่ง
  • กระจกจะไม่หลุดร่วงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพราะมีลวดยึดเกาะ
  • ช่วยชะลอการลุกลามของเปลวไฟ และควันไฟ
  • เส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจกทำให้สามารถป้องกันการโจรกรรม
  • ดีไซน์ดิบเท่ สไตล์อินดัสเทรียล

ข้อเสีย

  • ส่วนของขอบและผิวเส้นลวดด้านที่โดนตัดต้องได้รับการเตรียมป้องกันการเกิดสนิม
  • กระจกเสริมลวดอาจจะยากต่อการตัดแต่ง
  • การแผ่ความร้อนของอุปกรณ์ เช่น เครื่องทำน้ำอุ่น เตาหุงต้ม อาจทำให้กระจกเสริมลวดแตกได้
  • เสี่ยงต่อการเกิดสนิม จึงไม่ควรติดตั้งในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดสนิม เช่น ใกล้กับสระว่ายน้ำ 

การนำไปใช้งาน

บริเวณทางเดินหนีไฟ บริเวณทางเข้า-ออกอาคารที่ เพดานหรือผนังอาคารที่ทำด้วยกระจกที่อาจมีการแตกและหลุดร่วงของชิ้นกระจก

ข้อมูลวัสดุศาสตร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ

เขียน และเรียบเรียงโดย Wazzadu Encyclopedia

ข้อมูลอ้างอิงจาก

- www.jaykhodiyarglass.com

- wazzadu.com

- www.krajok.com

- www.isg-glass.com

-  the Société Chimique de France

-  NewsAnalysis:Trends US Glass

-  U.S. Patent

-  The Telegraph

แพลตฟอร์ม และเครื่องมือสำหรับการออกแบบตกแต่งบ้าน และงานสถาปัตยกรรม
โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มผู้ใช้งานต่างๆ ตั้งแต่ สถาปนิก แบรนด์สินค้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ให้บริการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ...

บทความอื่นๆ จากผู้เขียน

โพสต์เมื่อ

การออกแบบ และเลือกใช้วัสดุ
ระบบสุขาภิบาลในอาคาร Building sanitary system

โพสต์เมื่อ

โพสต์เมื่อ

ไอเดียมาใหม่

โพสต์เมื่อ

การออกแบบ และเลือกใช้วัสดุ
ระบบสุขาภิบาลในอาคาร Building sanitary system

โพสต์เมื่อ

บทความที่เกี่ยวข้อง

...

โพลสำรวจ

ถาม-ตอบ

Wazzadu.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานของคุณ