Double-Skin Facade คืออะไร และจะมีผลต่องานสถาปัตยกรรมอย่างไร

ถ้าหากผิวของอาคารเปรียบเสมือนดั่งผิวหนังของมนุษย์ที่คอยป้องกันร่างกายจากสภาพแวดล้อมภายนอก นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายมีความสวยงามเป็นดั่งหน้าตา เรือนร่างของมนุษย์ที่ชวนหลงใหล อนึ่งเราเรียกองค์ประกอบส่วนนี้ในงานสถาปัตยกรรมว่าเปลือกอาคาร หรือ Facade นั่นเอง ซึ่ง Facade เองนอกจากจะทำหน้าที่ป้องกันอาคารจากสภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว ยังช่วยสร้างรูปทรงที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ให้งานสถาปัตยกรรมได้อีกด้วย

ในแง่ของการออกแบบนั้นนักออกแบบ หรือ สถาปนิกส่วนใหญ่ จะทราบถึงอิทธิพลของ Facade เป็นอย่างดี เพราะ Facade เป็นองค์ประกอบการออกแบบสุนทรียศาสตร์ทางด้านสถาปัตยกรรมที่สามารถสร้างความต่างระหว่างคำว่า อาคาร และ สถาปัตยกรรม ได้ชัดเจน อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องอาคารจากสภาวะต่างๆได้อย่างสมดุล 

ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าเราจะเห็นนักออกแบบ หรือ สถาปนิก ขมักเขม้นกับการให้ความสำคัญในการออกแบบ Facade หรือ เปลือกอาคาร ไม่ต่างจากองค์ประกอบทางด้านสถาปัตยกรรมส่วนอื่นๆ โดยระบบ Facade ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคหลัง คือ ระบบผนังสองชั้น หรือที่เรียกว่า Double-Skin Facade นั่นเอง 

Double-Skin Facade คืออะไร

Double-Skin Facade หรือ ผนังสองชั้น คือการกรุหรือหุ้มฟาซาดภายนอกอีกชั้นให้กับอาคาร โดยเว้นระยะออกจากผนังภายในเล็กน้อย ซึ่งก็มีรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะการออกแบบ และวัสดุที่นำมาใช้ แต่ลักษณะทั่วไปคือเป็นผนังทึบสลับโปร่ง ให้ประโยชน์ในการป้องกันอาคารจากสภาวะบริบทในรูปแบบต่างๆเพื่อให้เกิดความสมดุลต่ออาคารอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ Double-Skin Facade หรือ ผนังสองชั้นยังเป็นนวัตกรรมที่ถูกใช้กับอาคารขนาดใหญ่ เช่น ตึกกระจกสูงระฟ้า และอาคารสาธารณะต่างๆ 

Double-Skin Facade จะประกอบไปด้วยโครงสร้างที่เป็นเหล็ก หรือ อลูมิเนียม เพื่อใช้สำหรับยึดวัสดุที่จะมาติดตั้งทับอีกชั้น เช่น อิฐ ,ระแนงไม้ ,บล็อค ,ตะแกรงเหล็ก ,แผ่นอะลูมิเนียมแคลดดิง ,ระแนงอลูมิเนียม ,กระจก ,แผ่นอะคริลิค ,สวนแนวตั้ง รวมไปถึงระบบผนัง Curtain Wall สำหรับอาคารสูง

Double-Skin Facade มีผลต่องานสถาปัตยกรรมอย่างไร

1.Energy Saving  ช่วยประหยัดพลังงานภายในอาคารมากขึ้น เพราะทำหน้าที่ควบคุมการรั่วไหลของอากาศภายในอาคารให้มีความสมดุล

2. Building Protection ช่วยลดความร้อน และฝุ่นที่จะเข้ามาสู่ภายในอาคารโดยตรง ป้องกันการเสื่อมสภาพของโครงสร้างอาคารจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ฝน ความร้อน หรือ สารพิษจากมลภาวะทางอากาศ ซึ่งจะช่วยยืดอายุโครงสร้าง และวัสดุตกแต่งอื่นๆของอาคารให้มีความคงทนยาวนานขึ้น

3. Lighting control ช่วยควบคุมแสงสว่างจากภายนอกที่จะเข้าสู่ตัวอาคารให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม

4. Stack Effect Ventilation เป็นสภาวะที่จะช่วยให้การใหลเวียนของอากาศมีความสมดุล ด้วยรูปแบบเปลือกอาคารแบบสองชั้น จะทำให้มีช่องว่างอยู่ตรงกลางระหว่างผนังชั้นใน และชั้นนอก ซึ่งช่องว่างที่อยู่ตรงกลางนี้เอง จะทำให้มวลอากาศที่เย็นกว่าจากภายนอกใหลเวียนเข้ามาทดแทนมวลอากาศที่ร้อนกว่าภายใน จึงทำให้เกิดความกดอากาศที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มวลอากาศร้อนที่สะสมอยู่ภายในช่องว่างนี้สามารถลอยตัวขึ้นได้เมื่อมีความดันอากาศที่มากพอ โดยมวลอากาศที่มีความร้อนจะใหลผ่านช่องเปิดหมุนเวียนอากาศที่อยู่ด้านบนออกไปสู่ภายนอกอาคารตามหลักการของ Stack Effect  ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาวะน่าสบายให้พื้นที่การใช้งานภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

5. Design Element ช่วยสร้างสุนทรียศาสตร์ทางด้านรูปทรงให้กับงานสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความสวยงามให้กับอาคาร และเป็นการเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับพื้นที่การใช้งานที่ต้องการความสงบเป็นส่วนตัว

ในปัจจุบันอิทธิพลจากระบบผนังสองชั้น หรือ Double-Skin Facade ที่มีต่องานสถาปัตยกรรมนั้น มีความก้าวล้ำไปมากกว่าการเป็นแค่ผนังธรรมดา ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีระบบเปลือกอาคารในยุคนี้ มีส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้เปลือกอาคารทำหน้าที่ได้หลากหลายมิติ และมีความสอดคล้องสัมพันธ์กับระบบอาคารในส่วนอื่นๆเพิ่มมากขึ้นอย่างกลมกลืน เป็นการเติมเต็มให้สถาปัตยกรรม กลายเป็นเครื่องจักรแห่งการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอนาคต 

 

Sponsored By

Wazzadu Academy : ข้อมูลวัสดุศาสตร์ในหมวดอื่นๆที่น่าสนใจ

แพลตฟอร์ม และเครื่องมือสำหรับการออกแบบตกแต่งบ้าน และงานสถาปัตยกรรม
โดยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มผู้ใช้งานต่างๆ ตั้งแต่ สถาปนิก แบรนด์สินค้า ผู้จัดจำหน่าย และผู้ให้บริการต่างๆที่เกี่ยวข้อง ...

บทความอื่นๆ จากผู้เขียน

โพสต์เมื่อ

โพสต์เมื่อ

ไอเดียมาใหม่

บทความที่เกี่ยวข้อง

...

โพลสำรวจ

ถาม-ตอบ

Wazzadu.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานของคุณ