สิงคโปร์ออกแบบผังเมืองแห่งอนาคตด้วยพื้นที่สีเขียว
อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้หลายๆ ประเทศกลับมาทบทวนถึงความสำคัญของพื้นที่สีเขียวแม้แต่ในเมืองใหญ่เองก็หันมาใส่ใจเรื่องการเพิ่มสัดส่วนพื้นที่สีเขียวในการวางผังเมืองเพื่อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ประเทศสิงคโปร์ก็เป็นหนึ่งประเทศที่มีแผนพัฒนาผลักดันและส่งเสริมการจัดการผังเมืองใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว จนปัจจุบันมีมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ได้อย่างลงตัว
“City in a Garden” เป็นวิสัยทัศน์ที่ริเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยอดีตนายกรัฐมนตรี ลี กวนยู ซึ่งต้องการพัฒนาประเทศสิงคโปร์ให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี สะอาดสะอ้าน และเต็มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน นับแต่นั้นมา รัฐบาลสิงคโปร์จึงได้วางกลยุทธ์การออกแบบผังเมืองให้มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น ผ่านการให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน การอาศัยอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และการเข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้
โดยในปี ค.ศ. 1975 รัฐบาลได้จัดตั้งกรมอุทยานและนันทนาการ (Parks and Recreation Department) ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ (Ministry of National Development) เพื่อทำหน้าที่ดูแลพื้นที่สีเขียวในเมืองในทุกแง่มุม โดยเริ่มตั้งแต่การปลูกต้นไม้ริมถนน มีการบัญญัติกฎหมายให้ที่อยู่อาศัยอย่างน้อย 85% ของประชากรทั้งหมด ตั้งอยู่ห่างจากสวนไม่เกิน 400 เมตร ให้ผู้คนสามารถเดินมาพักผ่อนได้จากบ้านได้นั่นเอง ทำให้ปัจจุบันประเทศสิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ “เขียว” ที่สุดในโลก โดยมีอัตราความหนาแน่นของต้นไม้ 29.3% จากพื้นที่ทั้งหมด
ในปี 2017 ได้เกิดโครงการ LUSH 3.0 ที่พื้นที่สีเขียวในเมืองถูกออกแบบได้ในหลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น โดยนักพัฒนาสามารถสร้างกำแพงสีเขียว ฟาร์มบนดาดฟ้า สวนลอยฟ้า หรือหลังคาสีเขียว มาทดแทนพื้นที่สีเขียวที่สูญเสียไปจากการพัฒนาที่ดินได้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เพียงสร้างความสวยงามน่ามองให้กับตัวอาคารเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอุณหภูมิความร้อนได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ศูนย์การค้า Funan ซึ่งมีฟาร์มในเมืองบนชั้นดาดฟ้าให้คนสามารถแวะมาเยี่ยมชมได้ โครงการ LUSH 3.0 ยังได้กำหนดอัตราส่วนพื้นที่สีเขียว (Green Plot Ratio) ขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความหนาแน่นของต้นไม้ในแต่ละพื้นที่ ดังนั้น ในพื้นที่ที่มีอาคารกระจุกตัวอยู่เบียดเสียดรวมกัน ก็จะยิ่งต้องมีพื้นที่สีเขียวลอยฟ้ามากขึ้นตามลำดับไปด้วย
จากวิสัยทัศน์ของ ลี กวนยู ในวันนั้น สิงคโปร์ได้พัฒนาจาก ‘Garden City’ สู่การเป็น ‘City in a Garden’ ในปัจจุบัน และตอนนี้ประเทศแห่งนี้กำลังก้าวสู่การเป็นเมืองท่ามกลางธรรมชาติ หรือ ‘City in Nature’ พื้นที่สีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ของสิงคโปร์ที่เราเห็นในวันนี้เป็นผลงานความร่วมมืออันยาวนานหลายสิบปีจากน้ำพักน้ำแรงของทั้งชุมชนรัฐบาลและพันธมิตรในอุตสาหกรรม
นอกจากโครงการ LUSH แล้ว ทางสิงคโปร์ยังพยายามให้พื้นที่สีเขียวเป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เฉพาะสวนสาธารณะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตามข้างถนน บนฟุตบาท ภายในอาคารสาธารณูปโภค ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยว เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าธรรมชาติสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสูง ทำให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงความเขียวชอุ่มของธรรมชาติ และตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาสภาพแวดล้อมในเมืองได้นั่นเอง
อ้างอิงจาก
- https://thepeople.co/singapore-tourism/
- https://genxploremore.com/singapore-photo-gallery
เรียบเรียงโดย Wazzadu Encyclopedia ซึ่งเป็นทีมวิจัย และพัฒนาความรู้ด้านการออกแบบ และวัสดุศาตร์ทางด้านสถาปัตย์ฯ
สำหรับท่านที่สนใจในนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สามารถติดต่อเพื่อโปรโมตผลงานของท่านเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมทั้งการออกแบบ, เทคโนโลยี, วัสดุศาสตร์ เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คนได้แล้วที่ wazzadu .com. โดย inbox เข้ามาได้ที่ www.facebook.com/Wazzadu
ผู้เขียนบทความ