จะดีแค่ไหน ถ้าธรรมชาติ ผสานเข้ากับงานสถาปัตยกรรมได้แบบลงตัวที่สุด…
เคยคิดกันเล่นๆ มั้ยว่า ถ้า “ธรรมชาติ” บนโลกใบนี้ ถูกมนุษย์อย่างเราๆ ทำลายไปจนหมด เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
เพราะการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน ล้วนต้องข้องเกี่ยวกับธรรมชาติไม่มากก็น้อย สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผลผลิตจากธรรมชาติเลยก็คือ ออกซิเจน ที่มาจากต้นไม้นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยในการหายใจของมนุษย์แล้ว ต้นไม้ยังช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้อีกด้วย แต่การจะให้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ก็ดูจะขัดกับชีวิตคนเมืองอย่างเราๆ ที่มองไปทางไหนก็มีแต่ตึกระฟ้าเต็มไปหมด ดังนั้น การผสมผสานธรรมชาติเข้ากับสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นจึงนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในเขตเมืองของไทย เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เราใกล้ชิดกับธรรมชาติน้อยลง และไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้นที่กำลังประสบปัญหานี้ แต่ในประเทศออสเตรเลียก็เช่นกัน ที่ประชากรมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตกว่า 90% ไปกับการอยู่แต่ในบ้านหรือในอาคาร ไม่ได้สัมผัสและใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้ประชากรในออสเตรเลียเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น และกว่าครึ่งยังต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตอีกด้วย
ด้วยการเล็งเห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติ จึงได้มีการศึกษาลึกลงไป จนพบว่า การที่คนไข้หลังผ่าตัดได้ชมวิวธรรมชาติระหว่างพักฟื้น มีส่วนช่วยให้พื้นตัวเร็วขึ้น หรือแม้แต่พนักงานบริษัทที่มักเครียดจากงาน หรือถูกสภาพแวดล้อมกดดัน การได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ก็ทำให้รู้สึกสบายกาย สบายใจได้เช่นกัน ซึ่งก็คงจะดี หากภายในอาคารที่คนเหล่านี้อาศัยอยู่ มีการตกแต่งโดยผสานเข้ากับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน
เพราะสำหรับคนเมืองแล้ว การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติภายนอกอาคาร หรือแม้แต่ภายนอกบ้าน เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่การนำเอาธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมเหล่านั้น และปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้
ประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงออกแบบสิ่งปลูกสร้างให้เกิดความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ส่งผลให้ประชากรมีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความสุขในการใช้ชีวิตได้อีกด้วย โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ปลูกต้นไม้ภายในอาคาร หรือภายในออฟฟิศ ซึ่งส่งผลให้พนักงานมีกระบวนการคิดและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น หรือหากปลูกในโรงพยาบาล ก็จะช่วยให้คนไข้อดทนต่อความเจ็บปวดได้ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยล่าสุดยังระบุอีกว่า การนำเอาพื้นที่สีเขียวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานสถาปัตยกรรม มีส่วนช่วยลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) และยังช่วยลดอุณหภูมิในเขตเมืองได้ด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงการออกแบบอาคารเท่านั้น ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับธรรมชาติได้ แต่การออกแบบบ้านก็สามารถทำได้ โดยเริ่มจากการเลือกวัสดุธรรมชาติ มาประกอบเป็นโครงสร้างบ้าน อย่าง ไม้แท้จาก Chale’t ที่มีวัสดุหลากหลายให้เลือกสรรได้ตามต้องการ อย่างบ้านที่มีระเบียงยื่นออกจากตัวบ้าน สามารถเลือกใช้ ระเบียงไม้แท้ ช่วยเติมความผ่อนคลายให้กับมุมพักผ่อนต่างๆ ไม่ว่าจะตกแต่งด้วยชิงช้า โต๊ะ หรือเก้าอี้เล็กๆ ครีเอทเป็นมุมกาแฟ หรือมุมชมวิวในสวน ก็ตอบโจทย์ได้ทั้งสิ้น
ในส่วนของ ไม้ระแนง ก็นับเป็นองค์ประกอบจากธรรมชาติที่นำไปปรับใช้ภายในบ้านได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นมุมต่างๆ ภายในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ห้องน้ำ หรือจะใช้ตกแต่งฟาซาดอาคาร ใช้เป็นระแนงบังตาก็ยังได้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัสดุจากไม้แท้ที่นำไปตกแต่งได้หลากสไตล์ รองรับทุกไอเดียสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นวัสดุที่เปรียบเสมือนตัวผสานและเชื่อมโยงธรรมชาติเข้าไว้ในบ้านได้อย่างลงตัว
ทางด้านของ พื้นไม้จริง จาก Chale’t ก็ช่วยเติมสัมผัสจากธรรมชาติให้กับตัวบ้าน หรือแม้แต่ในอาคาร อย่างโรงแรม รีสอร์ทได้เป็นอย่างดี โดยมีรูปแบบและสีสันให้เลือกหลากหลาย พร้อมรับทุกดีไซน์การตกแต่ง ซึ่งการออกแบบสถาปัตยกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ นอกจากจะก่อให้เกิดผลดีต่อสภาพจิตใจ อารมณ์ ช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีในด้านต่างๆ แล้ว ยังก่อให้เกิดความสุข ความสงบในจิตใจ ทั้งยังช่วยเติมเต็มทุกวันดีๆ ให้กับกลุ่มคนรักษ์ไม้ สร้างความอบอุ่น และเติมเต็มทุกห้วงของการใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบขึ้นได้
ตัวอย่างสินค้าเทียบเคียง
สามารถกรอกข้อมูลความต้องการ Spec สินค้าได้ที่ลิงค์นี้
https://www.wazzadu.com/page/chalet/contact
สอบถามข้อมูล และติดต่อสั่งซื้อได้ที่เบอร์ 089-444-9100
#Wazzadu #Chale't #ไม้จริง #ไม้แท้ #ไม้ระเบียง #ระเบียงไม้ #ไม้ระแนง #ระแนง #ไม้พื้น #พื้นไม้จริง #วัสดุไม้จริง #interior #exterior #BiophillicDesign #Biophillia #WoodArchitecture
ผู้เขียนบทความ