ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการการใช้ Soft Furnishing ในงานสถาปัตยกรรม
ม่าน ... บังแสงแดดไม่ให้รบกวนในตอนเช้า
ปลอกหมอน ... ช่วยให้นอนหลับสบาย
หมอนอิง .... เติมเต็มช่วงเวลาการพักผ่อน
Soft Furnishing สิ่งธรรมดาที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่รู้ไหมว่าวัสดุเหล่านี้ มีจุดเริ่มต้นจากไหน มีวิวัฒนาการอย่างไร กว่าจะเป็นรูปแบบที่เราใช้กันในทุกวันนี้
ประวัติศาสตร์การใช้ Soft Furnishing มีมาเนิ่นนาน โดยเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบผ้าลินินย้อมสีที่ถ้ำในสาธารณรัฐจอร์เจีย จากการสันนิษฐานคาดว่าเป็นผ้าที่ใช้ราวๆ 34000 B.C. จะเห็นได้ว่า Soft Furnishing ซึ่งสันนิษฐานได้ว่ามีการเริ่มใช้ตั้งแต่สมัยก่อนคริสต์ศักราชเลยทีเดียว
ยุคก่อนคริสต์ศักราช (B.C.)
จากหลักฐานจากที่พักอาศัยในสมัยยุคดึกดำบรรพ์ พบว่าพวกเขาใช้กิ่งไม้ พุ่มไม้ และหนังสัตว์ มาสร้างกระท่อมหลังเล็กๆ เพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ส่วนการใช้เส้นใยและสิ่งทอ (Soft Furnishing) เริ่มใช้ตั้งแต่สมัย Neolithic หรือยุคหิน
สิ่งทอชนิดแรกที่ถูกค้นพบในช่วง 5000 B.C. จะมาจากเส้นใยพืชเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าลินิน เป็นผ้าที่ใช้อย่างแพร่หลายในยุคนั้น และยังค้นพบการใช้เส้นใยป่าน เส้นใยขนสัตว์ ในช่วง 5000 B.C ด้วยเช่นกัน ส่วนฝ้ายและไหมนั้นเริ่มใช้ในช่วง 3000 B.C.
Egyptians (3200-341 B.C.) ชาวอียิปต์โบราณแสดงอำนาจด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบอย่างประณีต หรูหรา พวกเขาใช้เก้าอี้สำหรับบุคคลทุกระดับชั้นไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือคนทั่วไป โดยใช้การสานกกกับไม้เป็นพื้นผิวของตั่ง เก้าอี้ และบางครั้งก็ใช้หนังสัตว์ร่วมด้วย การเลือกใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสอ่อนนุ่มยังแสดงถึงความต้องการความสะดวกสบายในยุคนั้นด้วย
Greece (500-30 B.C.) ใช้งานเครื่องหนังเฉกเช่นชาวอียิปต์โบราณ แสดงถึงแนวคิดความต้องการความสะดวกสบาย ความหรูหรา และการแบ่งแยกสถานะบุคคล
Roman (509 B.C.-A.D. 476) ให้ความสำคัญกับพื้นที่ในอาคารมากกว่ายุคกรีก อย่างไรก็ตามกลับไม่ได้ให้ความสนใจในการใช้ Soft Furnishing เท่าไหร่นัก เพราะชาวโรมันเน้นที่การออกแบบสถาปัตยกรรมและการพัฒนาเทคนิคในการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่เช่น พระราชวัง วิหาร และ Amphitheater มากกว่า
ยุคคริสต์ศักราช (A.D.)
Romanesque และ Gothic (6th century) ในยุคนี้จะเริ่มใช้ผ้าและสิ่งทอในบ้านมากขึ้น มีการใช้เบาะรองนั่งลวดลายหรูหรา ช่วงต้นยุคกลางนิยมใช้ผ้าม่านบังหัวเตียง สร้างความเป็นส่วนตัวและกั้นสเปซในห้อง ในเวลาต่อมานักออกแบบถึงเริ่มใช้สิ่งทอและผ้าบุต่างๆ เพิ่มบรรยากาศพื้นที่ในอาคาร
Renaissance (15th century) หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการจะเน้นที่งานด้านสถาปัตยกรรมและทัศน์ศิลป์เป็นส่วนใหญ่ มากไปกว่านั้นยังนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการตกแต่งพื้นที่ภายในอาคารด้วย ในยุคนี้ดีไซน์เนอร์เริ่มให้ความสนใจด้านการออกแบบเพื่อความสะดวกสบายสำหรับมนุษย์มากขึ้น
ผู้คนในยุคเรเนซองส์มักแสดงความมั่งคั่ง ด้วยการนำผ้ากำมะหยี่สีโทนแดงเข้มมาใช้เป็นวัสดุปูพื้นและตกแต่งผนัง และในยุคนี้ยังแสดงถึงความนิยม Soft Furnishing ถึงขีดสุด ด้วยการเป็นอุตสาหกรรมเพียงประเภทเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ
Baroque (16th century) เริ่มมีการบุวอลเปเปอร์ด้วยผ้าทอและเส้นใยต่างๆ โดยมีฟังก์ชันเป็นฉนวนและเพิ่มความอบอุ่นให้กับห้องพักอาศัย ในฤดูหนาว นักออกแบบจะใช้ผ้าแขวนผนังที่มีน้ำหนัก เช่น กำมะหยี่ ผ้าทอ ช่วยป้องกันลมหนาว ส่วนฤดูร้อนพวกเขาเลือกใช้วัสดุที่เบา บาง เช่น ผ้าลินิน และผ้าไหมแทน
Soft furnishing กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในพื้นที่บริเวณรอบๆ ส่วนพักผ่อน เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง ม่านแขวนกั้นสัดส่วน และการหุ้มเบาะ เป็นต้น
ยังพบอีกว่ามีการใช้เก้าอี้และโซฟาหุ้มเบาะจากขนสัตว์เป็นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 จากนั้นจึงเริ่มพัฒนาเป็นผ้าบุชนิดต่างๆ ที่มีสัมผัสนุ่มนวลมากขึ้นดังเช่นปัจจุบัน
แทบทุกหลังคาเรือนในยุคบาโรคจะใช้ผ้าม่านช่วยบังแดดและสร้างความสวยงามให้กับอาคาร และยังใช้พรมปูพื้นรองใต้เฟอร์นิเจอร์ เพื่อความหรูหราและยังเป็นฉนวนกันความร้อนด้วย
Rococo (18th and 19th century) เน้นการออกแบบสเปซเพื่อการพักอาศัยและอยู่สบายมากขึ้น เช่น ออกแบบเก้าอี้ทรง Bergere และ Canapé ขึ้นมา รวมทั้งมีการใช้หมอนอิงเป็นครั้งแรกอีกด้วย โดยปัจจัยความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นมานี้ กลายเป็นมาตรฐานการออกแบบ Soft Furnishing ในยุคหลังๆ จนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
ส่วนผ้าม่านบังแดดก็ถูกยกระดับความหรูหรามากขึ้น ด้วยการประดับตกแต่งด้วยพู่สีต่างๆ แต่พรมปูพื้นกลับไม่ค่อยนิยมใช้มากนัก
ในเวลาต่อมาจึงมีการออกแบบสไตล์ Georgian ซึ่งนำพรมกลับมาใช้ดังเดิม และจากการใช้ผ้าม่านเพื่อป้องกันสภาพอากาศภายนอก ก็ถูกเปลี่ยนฟังก์ชันเป็นเพื่อความสวยงามและตกแต่งสเปซมากกว่าเดิม ในทางกลับกันนักออกแบบกลับให้ความสำคัญการตกแต่งพื้นที่บริเวณเตียงนอนน้อยลง
ถัดมาคือสไตล์ Neo classicalism เน้นที่ความหรูหรา สวยงาม และความโปร่ง จากการใช้วัสดุ Soft Furnishing ที่มอบสัมผัสนุ่มนวลและความรู้สึกที่อ่อนนุ่ม เช่นผ้าฝ้าย และผ้าลินิน มีน้ำหนักเบา โปร่งแสง เพิ่มบรรยากาศเบา สบาย น่าใช้งาน ในยุคนี้การใช้สิ่งทอแขวนผนังไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากนัก แต่ยังใช้พู่ห้อยตกแต่งผ้าม่านเหมือนในยุคก่อนหน้าเช่นกัน
20th century หรือยุคปัจจุบัน มีศิลปะและสไตล์การออกแบบ Soft Furnishing มากมาย จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันจึงทำให้เกิดการพัฒนาวัสดุใน Soft Furnishing ไม่หยุดยั้ง เช่น ยุค Modernism มีจุดเด่นอยู่ที่ความเบา เรียบง่าย ด้วยโทนสีไม่กี่โทน และเน้นใช้รูปทรงสี่เหลี่ยมตกแต่งอาคารทั้งภายในและภายนอก หรือในช่วง Art Deco ที่นิยมใช้รูปทรงเรขาคณิตตกแต่งอาคาร
จะเห็นได้ว่าจากการใช้ Soft Furnishing เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อความสะดวกสบาย ป้องกันจากสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมภายนอก สร้างความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัย ได้แปรเปลี่ยนเป็นการตกแต่ง เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ตามแต่ละยุคสมัย จน Soft Furnishing กลายเป็นสิ่งสำคัญช่วยสร้างเอกลักษณ์ของพื้นที่ในอาคาร ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ก็เกิดขึ้นตามบริบท วัฒนธรรม และการปกครองในแต่ละยุคสมัยนั่นเอง
ปัจจุบัน Soft Furnishing ถูกพัฒนาตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น หากจะกล่าวว่าประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของ Soft Furnishing แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง พัฒนา และการดำรงอยู่ของมนุษย์ก็คงจะไม่ผิดไปมากนัก ...
ผู้เขียนบทความ